Last updated: 16 ธ.ค. 2567 | 57 จำนวนผู้เข้าชม |
ปัญหาผิวที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ผิวระคายเคือง แพ้ง่าย สิวและริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงผิวแห้งกร้านและหน้าหมองคล้ำ ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่สมดุลของสุขภาพผิว ซึ่งสาเหตุหลักมักเกิดจากความอ่อนแอของแนวเคลือบผิว (Skin Barrier) ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากมลภาวะและสิ่งแปลกปลอม การทำลาย Skin Barrier อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก ทำให้ผิวไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Skin Barrier ว่าคืออะไร? สาเหตุที่เกราะป้องกันผิวของเราเสียหายเกิดจากอะไร? พร้อมแนะนำวิธีเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
Skin Barrier คือ ผิวหนังชั้นนอกที่อยู่บนผิวหนังซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ และป้องกันเชื้อโรค สารเคมี และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ การทำงานของผิวหนังชั้นนี้ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและป้องกันปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น การระคายเคือง แห้งกร้าน หรือการติดเชื้อ
การทำงานของ Skin Barrier ประกอบด้วยเซลล์ผิวหลายประเภทที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพผิว ที่หลัก ๆ คือ เซลล์ผิว (Keratinocytes) ที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่น เพื่อสร้างโปรตีนเคอราติน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้ผิว และเซลล์ที่ผลิตเมลานิน (Melanocytes) ซึ่งให้สีผิวและช่วยป้องกันรังสี UV จากแสงแดด พร้อมด้วยสารลิพิด (Lipids) ที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น และเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในผิวหนัง ดังนั้น การดูแลผิวและรักษาสมดุลของ Skin Barrier จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสุขภาพผิว โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่แห้งหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง
1. ป้องกันการสูญเสียน้ำ: Skin Barrier ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและมีความนุ่มนวล
2. ป้องกันสิ่งแปลกปลอม: เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยป้องกันการรุกรานของเชื้อโรค สารเคมี และมลพิษ ซึ่งสามารถทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและติดเชื้อ
3. ควบคุมการอักเสบ: Skin Barrier ที่แข็งแรงสามารถลดความเสี่ยงของการอักเสบและปัญหาผิวหนังต่าง ๆ เช่น สิว และโรคผิวหนังอักเสบ
4. เสริมสร้างความแข็งแรง: ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ดีเมื่อถูกทำร้ายจากปัจจัยภายนอก
5. ชะลอการเกิดริ้วรอย: เมื่อ Skin Barrier แข็งแรงจะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ยังช่วยให้ผิวไม่สูญเสียคอลลาเจน และอีลาสติน ที่มีบทบาทสำคัญในการลดริ้วรอยและความเหี่ยวย่น และลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้เร็ว
6. สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น: Skin Barrier ที่ดีช่วยให้ผิวมีสุขภาพที่ดีและดูสดใส ทำให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นในระยะยาว
เมื่อชั้นปราการผิวอ่อนแอลง ผิวจะสูญเสียความสามารถในการกักเก็บความชื้น ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น เกิดการระคายเคืองง่าย และอาจนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา ดังนี้
1. รังสี UV จากแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ยังทำลายเซลล์ผิวและไขมันธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผิว
2. มลภาวะต่าง ๆ ที่เราต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เช่น ฝุ่นละออง ควันจากรถยนต์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำลาย Skin Barrier ได้
3. การใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH สูงหรือต่ำมากเกินไปอาจทำลายสมดุลของค่า pH ของผิว ทำให้ชั้นผิวแห้งและสูญเสียความชุ่มชื้นได้
4. เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตเซราไมด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวจะลดลง ทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดริ้วรอย
5. โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตผิดปกติและหลุดลอกเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดผื่นแดงหนาและมีเกล็ดสีเงินปกคลุม บริเวณที่เป็นโรคจะขาดความชุ่มชื้นและเกิดรอยแตก ทำให้ชั้นป้องกันผิวหนังอ่อนแอลง
6. ความเครียด เมื่อเกิดความเครียดเป็นเวลานาน ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) แต่การมีระดับคอร์ติซอลที่สูงเกินไปในระยะยาวจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ผิวบอบบางและเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวได้
7. การขาดการบำรุงผิวสามารถทำให้ Skin Barrier อ่อนแอลงได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผิวไม่ได้รับการบำรุงที่เพียงพอ
เซราไมด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบตามธรรมชาติในผิวหนังที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นและความแข็งแรงของผิว เซราไมด์ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ Skin Barrier มีความสมบูรณ์และป้องกันการสูญเสียน้ำ นอกจากนี้ เซราไมด์ยังช่วยลดอาการระคายเคืองและบอบบางของผิว โดยเฉพาะในกรณีที่ผิวต้องเผชิญกับมลภาวะหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์เป็นส่วนผสมหลักจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น
มอยส์เจอร์ไรเซอร์มักมีส่วนผสมที่สร้างชั้นป้องกันบนผิวหนัง เช่น น้ำมันหรือซิลิโคน ซึ่งช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิว ทำให้ความชุ่มชื้นถูกเก็บไว้ในผิวได้ดีขึ้น และยังมีกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่มีความสามารถในการดูดซับน้ำและช่วยเติมเต็มน้ำให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและลดการสูญเสียน้ำ
หนึ่งในปัจจัยภายนอกที่ทำลาย Skin Barrier ได้ง่ายที่สุด คือ รังสี UV จากแสงแดด ฉะนั้น จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF/ PA ที่เพียงพอ เพื่อช่วยป้องกันการเข้าถึงของรังสี UV และลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ และมะเร็งผิวหนัง การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลผิวให้มีสุขภาพดีและยาวนาน
การทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนเป็นขั้นตอนพื้นฐานแต่สำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว หรือ Skin Barrier ให้แข็งแรง หากมีการขัดผิวแรง ๆ การทำความสะอาดผิวบ่อยเกินไป รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงจะทำให้ชั้นไฮโดรลิปิดซึ่งเป็นเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาตินั้นเสียหาย
น้ำ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิว การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ผิวดูสดใสและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้ การนอนอย่างเพียงพอมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเซลล์ผิวและเสริมสร้าง Skin Barrier ในขณะที่ร่างกายได้พักผ่อน ระบบฟื้นฟูจะทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะและปัจจัยภายนอกได้อีกด้วย
Derma Innovation มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้าง Skin Barrier ให้แข็งแรง โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น สารสกัดจากเซราไมด์ซึ่งมีคุณสมบัติในการเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวและรักษาความชุ่มชื้น หรือกรดไฮยาลูโรนิกที่ช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่ผิว โดย Derma Innovation มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งตั้งแต่คุณสมบัติของสารสกัดไปจนถึงกระบวนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนานั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายสินค้านั้นมีคุณภาพ ผ่านการทดสอบและวิจัยอย่างละเอียด และพร้อมออกสู่ตลาดอย่างมั่นใจ