Last updated: 14 มิ.ย. 2562 | 8866 จำนวนผู้เข้าชม |
Organic จริงไหม? ดูง่ายๆ แค่ 3 ข้อ
ในที่นี้ใครไม่เคยได้ยินคำว่า "ออร์แกนิค" บ้างคะ เชื่อว่าคงจะไม่มี หรือมีน้อยมากๆ เพราะในปัจจุบันคำว่า "ออร์แกนิค" เข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกิน เนื่องมาจากคุณประโยชน์อันมากมาย และอันตรายอันน้อยนิดของมันนั่นเอง ที่ทำให้ผู้ที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพหันมาเลือกซื้อสินค้าที่เป็นออร์แกนิคกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ผลิตภัณฑ์ Skincare ที่ผู้ใช้ก็เริ่มจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจากสารสกัดออร์แกนิค ทำให้ตลาดเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของออร์แกนิคโตขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะโตขึ้นไปอีกในอนาคต เมื่อสังคมผู้สูงอายุของไทยเริ่มจะชัดเจนขึ้นค่ะ
บทความนี้ เราจะนำความรู้มาฝากกันว่าพืชออร์แกนิค ที่เป็นต้นทางของสินค้าออร์แกนิคทั้งหลายนั้นต้องมีคุณสมบัติสำคัญอย่างไรบ้าง ถึงจะเรียกได้เต็มปาก เต็มคำว่า "พืชออร์แกนิค" ไปอ่านกันเลยค่ะ
1. ดินที่ใช้ปลูกต้องไม่ใช้สารเคมีอย่างน้อย 3 ปี
ดินที่จะใช้ปลูกพืชออร์แกนิคนั้น ต้องผ่านการพักดินจากการใช้สารเคมีมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี คือ ในระยะ 3 ปีนี้ห้ามให้ดินปนเปื้อนสารเคมีเป็นอันขาด เช่น ปุ๋ยเคมี ยาเคมีกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น แต่ยังสามารถปลูกพืชโดยใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ที่มาจากธรรมชาติในระหว่างพักดินได้นะคะ
2. กระบวนการปลูกต้องปลอดสารเคมีอันตรายทุกชนิด
หลังจากพักดินจากการใช้สารเคมีมาอย่างน้อย 3 ปีแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนในการปลูกพืชที่จะเคลมว่าเป็นออร์แกนิค โดยในกระบวนการปลูกจะต้องไม่ใช้สารเคมีในการปลูกเด็ดขาด เช่น ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดแมลง เป็นต้น ปุ๋ยที่สามารถใช้ได้ คือ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักที่มาจากธรรมชาติเท่านั้นค่ะ ในการกำจัดวัชพืชก็จะใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การถาง หรือถอนทิ้ง บางที่ก็ใช้การคลุมดิน เพื่อไม่ให้วัชพืชขึ้นได้แทน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ค่อนข้างจะช้า และต้องอาศัยแรงงานคนค่อนข้างมาก ที่สำคัญผลผลิตที่ได้ก็จะใช้ระยะเวลานานกว่า เนื่องจากไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการเจริญเติบโตค่ะ จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไม สินค้าออร์แกนิคแม้ไม่ใช้สารเคมี จึงมีราคาแพงกว่าสินค้าปกติค่ะ
3. ต้องไม่ใช่พืชดัดแปลงพันธุกรรม
ก่อนอื่นต้องมารู้จักกับพืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือพืช GMOs ก่อนนะคะ พืชชนิดนี้เป็นพืชที่มีกระบวนการทางพันธุวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อให้ได้พืชที่มีคุณสมบัติตามที่เราต้องการ เช่น ทนต่อแมลงมากขึ้น เน่าเสียช้าลง ทนต่อโรคมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม ต่อให้มาปลูกในแปลงที่มีการเตรียมดินไว้สำหรับออร์แกนิค และไม่ใช้สารเคมีเลยตลอดกระบวนการผลิต ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็นพืชออร์แกนิคได้นะคะ
แต่ในความเป็นจริงการที่จะปลูกพืชในสภาวะแวดล้อมที่เป็นออร์แกนิคแบบ 100% นั้น เป็นเรื่องที่ยากมากในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องด้วยข้อจำกัดของปัจจัยภายนอก เช่น สภาวะอากาศที่ไม่ได้บริสุทธิ์ หรือแม้แต่น้ำที่อาจจะมีสารเคมีปนเปื้อนมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือแม้แต่สภาวะตลาดที่บางทีการปลูกพืชออร์แกนิค 100% ก็ไม่สามารถสร้างผลผลิตได้ทัน จึงทำให้เกษตรกรเลือกที่จะนำสารเคมีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยได้แบ่งเกณฑ์ความเป็นออร์แกนิคเอาไว้ดังนี้ ตามแต่ผู้ผลิตจะสามารถทำได้
100% Organic เป็นกระบวนการผลิตแบบออร์แกนิค 100%
Organic เป็นออร์แกนิค 95%
Made with Organic Ingredient เป็นออร์แกนิค 70%
ผลดีต่อสุขภาพ
การที่ได้ใช้สินค้าที่เป็นออร์แกนิคนั้น นอกจากจะได้ช่วยโลกในการลดการใช้สารเคมีแล้ว ผลดีต่อสุขภาพก็คือ ร่างกายจะได้รับสารเคมีแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายน้อยลง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ อันเนื่องมาจากสารเคมีอันตราย ที่แม้จะไม่เกิดผลข้างเคียงในทันที แต่ก็อาจจะมีการตกค้างในร่างกายได้ค่ะ
สรุป
การใช้สารสกัดที่เป็นออร์แกนิคนอกจากผู้ใช้จะได้ประโยชน์ด้านสุขภาพไปเต็มๆ แล้ว เจ้าของแบรนด์ที่เลือกใช้ Ingredient ที่เป็นออร์แกนิคก็ยังได้สินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดขายที่ชัดเจน เป็นมิตรกับธรรมชาติ ทั้งยังทันต่อเทรนด์ของโลกในปัจจุบันอีกด้วยค่ะ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของ เดอร์มา อินโนเวชั่น ที่มีส่วนผสมของสารสกัดออร์แกนิค
CAR : Ancient Rice Purifying Gel Cleanser
MGT : Green Tea Organic Treatment Essence
EYE : Youth Expert Revitalizing Eye Cream
EDM : Deep Moisturizing & Refining Eye Gel
EEE : Effective Eye Repair Cream
สอบถามสินค้าจากสารสกัดออร์แกนิคเพิ่มเติม คลิก เลยค่ะ
ที่มา / อ้างอิง
คลิกดูมาตรฐานของเดอร์มา อินโนเวชั่น
www.derma-innovation.com/our-standard
11 ธ.ค. 2567
5 ธ.ค. 2567
5 ธ.ค. 2567
14 ธ.ค. 2567