Last updated: 19 พ.ย. 2567 | 455 จำนวนผู้เข้าชม |
สิวเห่อ ผิวมัน รูขุมขนกว้าง หน้าหมองคล้ำ… สารพัดปัญหาผิวที่แก้ไม่หาย เพราะแบบนี้เราถึงต้องทำความรู้จัก ‘Niacinamide’ ฮีโร่ตัวน้อยในวงการบำรุงผิว เป็นส่วนผสมยอดนิยมของเวชสำอางและสกินแคร์หลายตัว ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสิว รอยแดง รูขุมขนกว้าง หรือผิวหมองคล้ำ ไม่ว่าจะมีปัญหาผิวแบบไหน Niacinamide เอาอยู่แน่นอน! อยากรู้ว่า Niacinamide จะช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไรบ้าง? คุณสมบัติของ Niacinamide ช่วยอะไร? เหมาะกับสภาพผิวแบบไหน? ไปดูกันเลย!
ไนอะซินาไมด์ หรือ Niacinamide คือ วิตามิน B3 ที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B-Complex) พบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ และพืชตระกูลถั่ว โดยร่างกายจะเปลี่ยน Niacin ให้กลายเป็น Niacinamide ที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำงานของร่างกาย ทั้งระบบเผาผลาญ ระบบประสาท และยังช่วยปกป้องเซลล์ผิวของเราจากอนุมูลอิสระอีกด้วย แม้ว่าเราจะได้รับวิตามินบี 3 จากอาหารการกิน แต่บางครั้งปริมาณที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของผิว ทำให้เราต้องหาตัวช่วยอย่างอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์มาช่วยเสริมนั่นเอง
นั่นเป็นเพราะ Niacinamide เปรียบเสมือนอาหารผิวชั้นดี ที่คอยช่วยดูแลเรื่องผิวได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบของสิว กระชับรูขุมขน หรือให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไนอะซินาไมด์จึงเปรียบเสมือนการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า เพราะนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาผิวในปัจจุบันแล้ว ยังช่วยป้องกันปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย ทำให้ไนอะซินาไมด์จึงกลายเป็นส่วนผสมหลักที่ขาดไม่ได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นสารบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีประโยชน์ต่อผิวหลายด้าน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาผิวเหล่านี้
โดยสรุปแล้วไนอะซินาไมด์เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
1. ควรทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม Niacinamide บนผิวเล็กน้อยก่อน เช่น ข้อมือหรือหลังใบหู เพื่อสังเกตอาการแพ้หรือการระคายเคือง
2. หลังจากการทำความสะอาดผิวหน้า แนะนำให้ใช้ Niacinamide (ประมาณ 2-3 หยด) ทั้งเช้า-เย็นอย่างต่อเนื่อง
3. สามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน C, เรตินอล, และกรดไฮยาลูโรนิก
4. อย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดในตอนเช้าหลังจากการใช้ Niacinamide เนื่องจาก Niacinamide ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว แต่การป้องกันแสงแดดยังคงสำคัญในการปกป้องผิวจากความเสียหาย
1. ปัจจุบันมีงานวิจัยและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจำนวนมากที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับวิตามินซี โดยเคาน์เตอร์แบรนด์ชั้นนำหลายแห่งได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมทั้งสองชนิด และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี การใช้ไนอะซินาไมด์และวิตามินซีร่วมกันอย่างเหมาะสมมีส่วนช่วยในการปรับปรุงสภาพผิวให้กระจ่างใสและมีสุขภาพดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การใช้ไนอะซินาไมด์ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันว่าไนอะซินาไมด์มีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันบนผิวหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสิว ดังนั้นจึงคาดหวังได้ว่าไนอะซินาไมด์จะช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวในระยะยาว
3. เหตุผลที่ไม่ควรใช้ Niacinamide ร่วมกับกรดซาลิไซลิกในสูตรเดียวกัน หรือในเวลาเดียวกัน เนื่องจากกรดซาลิไซลิกทำงานได้ดีที่สุดในสภาวะที่เป็นกรด (pH ต่ำ) ในขณะที่ไนอะซินาไมด์ทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรดอ่อน (pH 5-6) การนำทั้งสองตัวมารวมกันในสูตรเดียวอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสารทั้งสองลดลง ดังนั้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้แต่ละสารแยกกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิว
นอกจาก Niacinamide ฮีโร่ในวงการสกินแคร์แล้ว ยังมีความลับของส่วนผสมอื่น ๆ ในวงการสกินแคร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย Derma Innovation จะช่วยให้แบรนด์ของคุณแตกต่าง ด้วยส่วนผสมพิเศษที่คัดสรรมาอย่างดี ผสานกับสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์อย่างยาวนาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของคุณตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และโดดเด่นเหนือคู่แข่งในตลาดที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย