นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือที่รู้จักกันในฐานะ “สุดยอดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ” ได้กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและความสนใจอย่างล้นหลามจากทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกนมผึ้งรายใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตมากกว่า 4,000 ตันต่อปี คิดเป็น 90% ของผลผลิตทั้งหมดของโลก และมีมูลค่าตลาดที่สูงถึงกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปยังญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา และด้วยความต้องการนมผึ้งที่สูงลิ่วนี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งดึงดูดความสนใจจากนักวิจัยและผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของนมผึ้งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
นมผึ้ง (Royal Jelly) คืออะไร?

นมผึ้ง คือ สารที่มีลักษณะข้นและสีขาวที่ผลิตขึ้นมาจากต่อมไฮโปฟาริงซ์ (Hypopharyngeal Gland) ที่ผึ้งงานผลิตขึ้นมาเลี้ยงผึ้งนางพญา นมผึ้งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมและมีคุณค่าสูง ใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอางทั่วโลก
นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์จากผึ้งที่ได้รับการศึกษามากที่สุด และได้รับการยืนยันแล้วว่ามีสารชีวภาพหลักที่รับผิดชอบต่อคุณสมบัติทางเภสัชกรรมต่าง ๆ ของนมผึ้ง ได้แก่ โปรตีน เปปไทด์ ไขมัน ฟีนอลิก และฟลาโวนอยด์
ส่วนประกอบหลักทางเคมีของนมผึ้ง
นมผึ้งประกอบด้วยสารอาหารที่หลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนา ระบบภูมิคุ้มกัน และการฟื้นฟูร่างกายของผึ้ง รวมถึงมนุษย์ด้วย ตัวอย่างสารที่สำคัญในนมผึ้งมีดังนี้:
- โปรตีน (Proteins): นมผึ้งมีโปรตีนหลายชนิด รวมถึง โปรตีนที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (Low Molecular Weight Proteins) ที่สามารถดูดซึมได้ง่าย รวมถึง อัลบูมิน (Albumin) และ ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและฟื้นฟูร่างกาย
- กรดไขมัน (Fatty Acids): นมผึ้งมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งสามารถช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิวพรรณ
- คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates): มีน้ำตาลที่ง่ายต่อการย่อยและใช้พลังงานได้เร็ว เช่น กลูโคส (Glucose) และ ฟรุกโตส (Fructose)
- วิตามินและแร่ธาตุ (Vitamins & Minerals): นมผึ้งมีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน B1, B2, B3, B5, B6, B8, B9 และวิตามิน C รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และซีลีเนียม
ประโยชน์ของนมผึ้ง

1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
นมผึ้งมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารอินทรีย์และกรดไขมันที่ใช้กระตุ้นเซลล์ป้องกันของร่างกาย ซึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมได้
2. ปกป้องระบบประสาท
นมผึ้งอุดมไปด้วยวิตามินบี สังกะสี และโคลีน รวมถึงสารประกอบฟีนอลิก ซึ่งทำให้นมผึ้งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและปกป้องระบบประสาท ช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ รวมถึงป้องกันโรคระบบประสาทเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
3. ป้องกันไขมันพอกตับ
นมผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดความเครียดออกซิเดชัน ในร่างกาย โดยเฉพาะในเซลล์ตับ ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของไขมันในตับและลดความเสี่ยงของ ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
4. ชะลอความแก่
นมผึ้งเป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยชะลอการแก่ก่อนวัยตามธรรมชาติของผิวหนัง ป้องกันการเกิดริ้วรอย และป้องกันโรคระบบประสาทเสื่อม นอกจากนี้ยังส่งเสริมสุขภาพกระดูกด้วยคุณสมบัติในการลดการสลายของกระดูก และมีบทบาทในการรักษาการทำงานของกล้ามเนื้อ
5. ช่วยดูแลสุขภาพในวัยหมดประจำเดือน (PMS) และอาการวัยทอง (Menopause)
มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่านมผึ้งสามารถช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ของวัยทองได้ เช่น การปรับสมดุลฮอร์โมน และการเพิ่มการหล่อลื่นในช่องคลอด โดยนมผึ้งมีบทบาทในการช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่จำเป็น เช่น เอสโตรเจน ซึ่งมีผลในการลดอาการต่าง ๆ ของวัยทอง
6. ช่วยเรื่องภาวะมีบุตรยากในชาย
นมผึ้ง จะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างสเปิร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนและคุณภาพอสุจิ
7. ปรับปรุงสุขภาพผิว
นมผึ้งประกอบด้วยคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการรักษาสุขภาพผิว ผม และเล็บให้แข็งแรง การผลิตคอลลาเจนจะลดลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ดังนั้นการทานนมผึ้งเป็นอาหารเสริมจึงอาจช่วยลดเลือนริ้วรอยและรอยย่นได้
นมผึ้ง กินตอนไหนดีที่สุด? ปริมาณที่ควรได้รับคือเท่าไหร่

นมผึ้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีหลายรูปแบบ และได้รับความนิยมในการบริโภคแตกต่างกันไป เช่น นมผึ้งสด แคปซูลผง นมผึ้งแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เป็นสูตรของเหลว รวมถึงผลิตภัณฑ์นมผึ้งที่ใช้ทาผิว แต่สำหรับนมผึ้งสดนั้น เพื่อไม่ให้คุณค่าของนมผึ้งเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเปิดแล้วต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิระหว่าง 2 ถึง 5 องศาเซลเซียส และควรห่างจากแสงและความชื้น ซึ่งในด้านการใช้ปริมาณที่เหมาะสมของนมผึ้งนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพ หรือสภาวะอื่น ๆ แต่งานวิจัยสนับสนุนการใช้นมผึ้ง 300–6,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะเห็นผลประโยชน์ที่ดีในช่วงปริมาณนี้ ควรรับประทานนมผึ้งในตอนเช้าเป็นเวลาสูงสุด 1 หรือ 2 เดือน โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วยขนาดที่ต่ำก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามความเหมาะสม
ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการใช้ “นมผึ้ง”
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วนมผึ้งจะถือว่าปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ นมผึ้งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้ผึ้งหรือหรือละอองเกสร มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะภูมิแพ้กว่าคนทั่วไป
- อาการแพ้: นมผึ้งสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้หลายอย่าง ตั้งแต่การเป็นผื่นแดง ไปจนถึงผิวหนังอักเสบ มักจะเกิดขึ้นในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด หรือโรคผื่นแพ้ผิวหนัง (Eczema) เพราะภูมิคุ้มกันของพวกเขาอาจตอบสนองเกินปกติ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเมื่อรับประทานนมผึ้งและหยุดรับประทานหากเกิดอาการแพ้
- หลีกเลี่ยงเมื่อกำลังตั้งครรภ์: นมผึ้งมีสารหลายชนิดที่อาจมีผลต่อระบบฮอร์โมนหรือภูมิคุ้มกัน ซึ่งในช่วงตั้งครรภ์ การปรับตัวของฮอร์โมนอาจทำให้การใช้สารบางอย่างอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้
- รบกวนการใช้ยา: นมผึ้งอาจโต้ตอบกับยาอื่น ๆ ที่คุณกำลังรับประทานอยู่ เนื่องจากนมผึ้งสามารถมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาเปลี่ยนแปลง เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ที่ใช้รักษาลิ่มเลือด การทานนมผึ้งร่วมกับยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกหรือฟกช้ำได้
นมผึ้ง ตอบโจทย์คนกลุ่มใดบ้าง
1. คนที่กำลังเข้าสู่วัยทอง: เนื่องจากในช่วงนี้ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และนมผึ้งมีคุณสมบัติในการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ทำให้บรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ร้อนวูบวาบ หงุดหงิด หรืออารมณ์แปรปรวน
2. คนที่มีปัญหาผิวพรรณ: เนื่องจากนมผึ้งมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น วิตามินบีและแร่ธาตุ ทำให้ผิวพรรณดูสดใสและชุ่มชื้น ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำ
3. คนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ: นมผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ
4. คนที่มีปัญหาเรื่องความจำ: เนื่องจากนมผึ้งมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เช่น วิตามินบีและกรดอะมิโน ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทและส่งเสริมความจำและสมาธิ
5. ผู้ชายที่ต้องการให้สเปิร์มแข็งแรง: เนื่องจากมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงระบบสืบพันธุ์ เช่น วิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชาย และสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อการผลิตสเปิร์มและความแข็งแรงของสเปิร์ม
ยกระดับผลิตภัณฑ์จากนมผึ้ง (Royal Jelly) ให้ได้มาตรฐานระดับสากลที่ Derma Innovation
ผสานพลังธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ “นมผึ้ง (Royal Jelly)” สารสกัดที่มีประโยชน์มหาศาลและได้รับการยอมรับในวงการสุขภาพและความงามทั่วโลก ผ่านงานวิจัยและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รู้จักกับนมผึ้งในมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้ในผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแตกต่างจากตลาดทั่วไป แม้ในปัจจุบันจะมีผลิตภัณฑ์จากนมผึ้งมากมายอยู่แล้ว แต่การคิดให้ต่างและพัฒนาให้ล้ำสมัยด้วยนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์จากทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Derma จะช่วยให้คุณนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์จากนมผึ้งที่แปลกใหม่กว่าเดิม และตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะเจาะจงของผู้บริโภค พร้อมสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมผึ้งที่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
อ้างอิงข้อมูลจาก: healthline.com, health.com, mdpi.com