แม้ว่า SPF 50 PA++++ จะดูเหมือนการปกป้องระดับสูงสุดที่หลายคนคิดว่าเพียงพอแล้ว แต่ความจริงคือไม่มีสารกันแดดใด ๆ ที่สามารถปกป้องผิวจาก UVA และ UVB ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100% แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF 30-50 และ PA มากกว่า 3+ หรือ PPD มากกว่า 10 เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการปกป้องผิวจากรังสีอันตรายที่ทำลาย DNA ผิวของเรา แต่การทาครีมกันแดดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ! สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพื่อปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สารกันแดด คืออะไร?
สารกันแดด (Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งมีทั้ง UVA และ UVB ที่เป็นสาเหตุหลักของการทำลายผิวหนัง ทำให้การใช้ครีมกันแดดเป็นส่วนสำคัญในกิจวัตรประจำวันเพื่อป้องกันการเกิดอาการผิวไหม้จากแดด (Sunburn) ริ้วรอย และความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง

หลักการทำงานของสารกันแดด
สารกันแดดทำงานโดยการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มาจากแสงแดด ซึ่งรังสี UV สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังและทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ เช่น การไหม้จากแสงแดด (Sunburn) การแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่การเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมี 2 กลไกหลักในการทำงาน คือ
1. การดูดซับรังสี UV
การดูดซับรังสี UV แล้วเปลี่ยนรังสีนั้นให้เป็นพลังงานความร้อนที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง จากนั้นพลังงานความร้อนก็จะถูกระบายออกจากผิวไป โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือการทำลายผิว สารกันแดดในกลุ่มนี้จะซึมเข้าสู่ผิว และทำงานจากภายในเซลล์ผิวหนัง
2. การสะท้อนหรือหักเหรังสี UV
การทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกัน โดยจะสะท้อนหรือหักเหรังสี UV ออกไปจากผิวหนัง ทำให้รังสี UV ไม่สามารถทะลุผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ ซึ่งสารเหล่านี้ไม่ซึมเข้าสู่ผิว แต่จะอยู่บนผิวเพื่อปกป้องโดยการ สะท้อนหรือหักเหรังสี UV ออกจากผิวนั่นเอง
สารกันแดด มีกี่ประเภท? มีอะไรบ้าง?
สารกันแดดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามกลไกการทำงาน ดังนี้
1. สารกันแดด Physical Sunscreen
Physical Sunscreen คือ สารกันแดดที่ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันผิว มีอีกชื่อว่า Mineral Sunscreen โดยมีส่วนประกอบหลักเป็นแร่ธาตุธรรมชาติอย่าง Titanium dioxide และ Zinc oxide สารกันแดดกลุ่ม Physical Sunscreen นี้จะเคลือบอยู่บนผิวเพื่อสะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกไป จึงออกฤทธิ์ปกป้องผิวได้ทันทีหลังทาโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ซึมเข้าสู่ผิวหนัง
ข้อดี
- ปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVA-II และ UVB ได้ดี
- เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เพราะไม่มีการดูดซึมเข้าสู่ผิว
- ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้
- ปกป้องผิวทันทีหลังทา
ข้อจำกัด
- เนื้อค่อนข้างหนัก สีขาวขุ่น อาจทำให้เกิดคราบขาวบนผิว
- อาจต้องทาซ้ำบ่อยเมื่อสัมผัสน้ำหรือเหงื่อ
- ต้องใช้ในปริมาณที่มากเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดด
เหมาะสำหรับ
- ผิวแพ้ง่ายหรือบอบบาง: เนื่องจากสารในกลุ่มนี้ไม่ดูดซึมเข้าสู่ผิว จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้
- ผู้ที่มองหาการปกป้องทันที: สารกันแดด Physical Sunscreen นี้จะปกป้องผิวได้ทันทีหลังจากทา โดยไม่ต้องรอเวลาให้ผลิตภัณฑ์ซึมเข้าสู่ผิว
- ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีแดดจัด: เหมาะสำหรับการใช้งานกลางแจ้งในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เช่น ชายหาดหรือการเดินทางในที่ร้อนจัด
2. สารกันแดด Chemical Sunscreen
Chemical Sunscreen มีหน้าที่คือการดูดซับรังสี UV และแปลงรังสี UV ให้กลายเป็นพลังงานความร้อนที่ไม่สามารถทำลายผิวได้ โดยสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว แต่ความสามารถในการป้องกันรังสี UVA-I และ UVA-II จะแตกต่างกันไปตามชนิดของสารเคมีที่ใช้ สารกันแดดในกลุ่มนี้มักประกอบด้วย Avobenzone, Octinoxate, Oxybenzone, Homosalate, Octocrylene และอื่น ๆ
ข้อดี
- เนื้อบางเบาที่สุด ค่อนข้างใสกว่าประเภทอื่น เกลี่ยง่าย ไม่ทิ้งคราบขาว
- ทาได้ง่ายและไม่รู้สึกหนักผิว
- สามารถทาทับเครื่องสำอางได้ง่าย
- ปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ดี
- มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวได้ดี แม้ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า Physical Sunscreen
- ราคาถูก
ข้อจำกัด
- ต้องรอให้สารกันแดดซึมเข้าผิวก่อนจึงจะสามารถป้องกันได้
- อาจเกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้ในบางคน
- ต้องทาซ้ำเมื่อสัมผัสน้ำหรือเหงื่อ
- ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ขึ้นอยู่กับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์
เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่ต้องการเนื้อครีมบางเบา: เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้มีคราบขาวหรือความรู้สึกหนักผิวหลังทา
- ใช้ในชีวิตประจำวัน: เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น ทาไปทำงาน หรือทาก่อนออกจากบ้าน
- ผู้ที่มีกิจกรรมที่ต้องการปกป้องจากรังสี UVB เป็นหลัก: เนื่องจาก Chemical Sunscreen จะป้องกันแสงจาก UVB ได้ดี

3. สารกันแดด Hybrid Sunscreen
สารกันแดด Hybrid Sunscreen คือ การรวมเอาข้อดีของครีมกันแดด Physical และ Chemical ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยสารประกอบอย่าง Tinosorb M และ Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol ซึ่งให้การป้องกันที่ครอบคลุม ทำให้มีคุณสมบัติทั้งการสะท้อนและการดูดซับรังสี UV ทำให้สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA-I, UVA-II และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี
- ปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB อย่างครอบคลุม
- เนื้อสีขาว เกลี่ยง่าย ไม่ทิ้งคราบขาว และให้สัมผัสที่เบาสบาย
- เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและกิจกรรมกลางแจ้ง
- มีโอกาสเกิดการระคายเคือง หรือแพ้ได้น้อยกว่า Chemical Sunscreen
ข้อจำกัด
- อาจมีราคาสูงกว่า
- ต้องทาซ้ำหลังจากสัมผัสน้ำหรือเหงื่อ
- ต้องเติมกันแดดระหว่างวัน เพื่อประสิทธิภาพปกป้องผิวเต็มที่
เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่ต้องการการปกป้องครบถ้วน: เนื่องจากสารกันแดดแบบผสมสามารถปกป้องทั้งจากรังสี UVA, UVB, และ UVA-II ได้
- ผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง: เหมาะสำหรับการใช้งานในกิจกรรมที่สัมผัสแสงแดดมาก เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือการท่องเที่ยว
สารกันแดดประเภทไหนดีสุดในมุมมองที่มีต่อผู้บริโภค
ในมุมมองของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการปกป้องผิว ความปลอดภัยต่อผิวที่บอบบาง เนื้อสัมผัสบางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ และความสะดวกในการใช้งานที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องสำอางได้ง่าย รวมถึงการเติมระหว่างวันได้โดยไม่เป็นคราบ การเลือกสารกันแดดที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละคนมีความต้องการและสภาพผิวที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB ควบคู่ไปกับความปลอดภัยที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง นอกจากนี้ เนื้อสัมผัสที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ทิ้งคราบขาวก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคนำมาพิจารณา รวมถึงความสะดวกในการใช้งานที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องสำอางได้ง่ายและเติมระหว่างวันได้โดยไม่เป็นคราบ ดังนั้น การเลือกสารกันแดดที่ดีที่สุดจึงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและความเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนนั่นเอง

นอกจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว ผู้ประกอบการยังต้องคำนึงถึงการดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคให้ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยอาจจะเน้นที่การสื่อสารถึงคุณสมบัติที่โดดเด่น เช่น การปกป้องจากรังสี UVA และ UVB อย่างมีประสิทธิภาพ หรือการใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวที่บอบบาง และการออกแบบเนื้อสัมผัสที่บางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ การให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทดลองและรับประกันความปลอดภัย หรือแม้แต่การทำการตลาดที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ก็สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคเลือกใช้และทดลองผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้นได้มากขึ้น
อยากสร้างแบรนด์ครีมกันแดดที่ขายดี ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?
1. การเลือกสารกันแดดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย: ครีมกันแดดในตลาดมีหลายสูตร และมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น ครีมกันแดดสำหรับผิวบอบบาง ครีมกันแดดสำหรับผิวมัน หรือผิวแห้ง
2. การเลือกค่าป้องกัน (SPF): SPF (Sun Protection Factor) คือการวัดความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งทำให้เกิดการไหม้ การเลือก SPF ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับประเภทของกิจกรรมที่ใช้ เช่น SPF 30-50 จะเหมาะสำหรับการออกแดดปกติ ส่วน SPF 50 ขึ้นไปอาจเหมาะสำหรับกิจกรรมที่ต้องสัมผัสแดดตลอดเวลา
3. การเน้นการทำการตลาด: ใช้ข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันรังสี UV สารกันแดดที่ได้รับการยอมรับระดับสากล และวิธีการทำการตลาดที่เน้นถึงประโยชน์ของครีมกันแดดที่เหมาะสม เช่น ครีมกันแดดที่ไม่ทิ้งคราบขาว หรือครีมกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้น เป็นต้น
4. ความปลอดภัยและการรับรอง: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น GMP FDA หรือการรับรองจากองค์กรในประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
5. ทฤษฎีด้านความรู้ในเรื่อง UV: ควรให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการป้องกันแสงแดดในรูปแบบต่าง ๆ ยกตัวอย่าง การใช้งานในช่วงเวลาเสี่ยงสูง เช่น เวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงเย็น คือช่วงเวลาที่รังสี UV มีความเข้มข้นสูงสุด การทาครีมกันแดดทุก ๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสารกันแดดบางตัวจะค่อย ๆ เสื่อมประสิทธิภาพไปเมื่อสัมผัสกับเหงื่อ น้ำ หรือการถูกรบกวนจากสิ่งอื่น ๆ การให้ข้อมูลที่เป็นประโยคแบบนี้จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความสำคัญของการใช้ครีมกันแดด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการศึกษาที่ถูกต้องและการประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการใช้ในชีวิตประจำวัน
6. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะยาว: การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การออกสูตรใหม่ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคหรือการทำผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น เช่น ลิปกันแดดที่ช่วยริมฝีปากจากแสงแดดและมลภาวะโดยเฉพาะ การมอง Next Step ล่วงหน้า จะช่วยให้แบรนด์ของคุณไม่หยุดนิ่งและมีโอกาสเติบโตในตลาดอย่างยั่งยืน
นวัตกรรมใหม่ที่ Derma Innovation กับสารกันแดดที่ผู้บริโภคยุคใหม่มองหา
ในยุคที่การดูแลผิวไม่ใช่แค่การป้องกันจากแสงแดด แต่ต้องปกป้องผิวจากปัจจัยที่มองไม่เห็น เช่น รังสี UVA, UVB, แสงสีฟ้า และมลภาวะที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว การเลือกใช้สารกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น และการมองหาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์อย่างครบถ้วน Derma Innovation จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการสร้างแบรนด์สารกันแดดที่ผู้บริโภคต้องการ เพราะนอกจากจะมอบการปกป้องผิวจากรังสี UV แล้ว ยังช่วยดูแลผิวอย่างล้ำลึกด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เหมาะสมกับสภาพผิวที่หลากหลาย พร้อมมาตรฐานระดับสากลที่ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผิวของทุกคนจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและปลอดภัย Derma Innovation พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมวางแผนการพัฒนาใน Next Step ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณลงเล่นในตลาดได้อย่างแตกต่างและไม่ซ้ำใคร!