เมื่อน้ำและน้ำมันรวมตัวกัน…สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้กลับกลายเป็นจริง! ไปดูกับว่าหลักการทำงานของ Emulsion เป็นอย่างไร? ทำไมถึงทำให้เกิดการบำรุงผิวที่ล้ำลึกและมีประสิทธิภาพ พร้อมหาคำตอบกันต่อว่า Emulsion ควรใช้ตอนไหน? ใช้ร่วมกับเซรั่มหรือครีมบำรุงอะไรดี? เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้ Emulsion หลังเซรั่มหรือเอสเซนส์? แล้วสุดท้ายผลิตภัณฑ์ Emulsion จะจำเป็นต่อ Skincare Routine ของเราหรือไม่? ไปหาคำตอบกันเลย!
Emulsion คืออะไร?
Emulsion (อิมัลชัน) คือ การผสมกันของของเหลวสองชนิดที่ไม่สามารถผสมกันได้ตามธรรมชาติ เช่น น้ำ (Water) และน้ำมัน (Oil) แต่สามารถผสมกันได้โดยการใช้สารช่วยทำให้เกิดอิมัลชัน (Emulsifiers) ซึ่งทำหน้าที่ในการช่วยให้ทั้งสองของเหลวสามารถผสมและกระจายตัวในสภาพเสถียรได้ โดยไม่แยกออกจากกัน

การทำงานของ Emulsion
การทำงานของ Emulsion คือการที่ผสมน้ำและน้ำมันเข้าด้วยกัน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว น้ำและน้ำมันไม่สามารถผสมกันได้ เพราะน้ำมีคุณสมบัติเป็น Hydrophilic ส่วนน้ำมันมีคุณสมบัติเป็น Lipophilic ทำให้ทั้งสองแยกออกจากกัน แต่เมื่อเราผสมด้วยสารบางชนิดที่เรียกว่า Emulsifiers หรือ Surfactants สารเหล่านี้จะช่วยทำให้มันสามารถผสมกันได้
Emulsifiers หรือ Surfactants คือสารที่มีสองส่วน:
- ส่วนที่รักน้ำ (Hydrophilic) >> ส่วนนี้จะไปจับกับน้ำ
- ส่วนที่รักน้ำมัน (Lipophilic) >> ส่วนนี้จะไปจับกับน้ำมัน
เมื่อเราใส่สารเหล่านี้ลงไปในน้ำและน้ำมัน สารช่วยทำให้เกิด Emulsion จะไปลดแรงตึงผิว (Surface Tension) ระหว่างน้ำและน้ำมัน ทำให้มันไม่แยกออกจากกันอีกต่อไป แต่สามารถรวมตัวกันในรูปแบบของ หยดเล็ก ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งน้ำและน้ำมันอยู่ร่วมกันในสภาพเสถียร ที่มีโครงสร้างเป็น ไมโครหรือมิลลิไมโคร ช่วยให้มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ครีม โลชั่น เป็นต้น
Emulsion มีประโยชน์อย่างไร?
- การบำรุงผิว: Emulsion ช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม สามารถผสมสารบำรุง (เช่น วิตามิน หรือสารสกัดจากธรรมชาติ) กับน้ำและน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำ และสารบำรุงจากน้ำมันโดยไม่ทำให้ผิวเหนียวเหนอะหนะ
- ไม่ทำให้ผิวมัน: โดยการใช้เทคนิค Emulsion ที่น้ำมันกระจายอยู่ในน้ำ (Oil-in-Water) ซึ่งจะช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์เบาและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็ว โดยไม่ทิ้งความมันบนผิว
- เนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น: Emulsion ช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความเบาและเนียนละเอียดขึ้น เช่น ครีมกันแดด โลชั่น หรือเซรั่ม ที่ให้ความรู้สึกบางเบา แต่ยังคงให้การบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพ
- การกระจายสารบำรุง: การทำงานร่วมกันของน้ำและน้ำมันใน Emulsion ช่วยให้สารบำรุงต่างๆ เช่น วิตามินซี อนุภาคนาโน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ กระจายตัวได้ดีในผลิตภัณฑ์ ช่วยให้ผิวได้รับการดูแลจากสารเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การป้องกันการแยกตัว: Emulsion มีประโยชน์ในการป้องกันการแยกตัวของน้ำและน้ำมันในผลิตภัณฑ์ เช่น ครีมและโลชั่นที่หากไม่มีการใช้ Emulsion อาจทำให้ส่วนผสมแยกออกจากกันเมื่อเก็บไว้นาน ๆ
นอกจากอุตสาหกรรมความงามแล้ว Emulsion ยังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารและยา โดยในอุตสาหกรรมอาหาร Emulsion ช่วยให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติหลากหลาย เช่น น้ำนม มายองเนส น้ำสลัด และไอศกรีม อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่ละลายในไขมันได้ดีขึ้น ส่วนในอุตสาหกรรมยา Emulsion ช่วยในการกระจายตัวของสารออกฤทธิ์ในรูปแบบที่เสถียรและสามารถควบคุมการปล่อยสารออกฤทธิ์ได้ช้า ๆ หรือต่อเนื่อง ทำให้การดูดซึมในร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเภทของ Emulsion ที่ควรรู้จัก

ประเภทของ Emulsion สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามการกระจายตัวของน้ำและน้ำมันในระบบ Emulsion นั่นคือ
1. น้ำในน้ำมัน (Water-in-Oil, W/O)
ในประเภทนี้น้ำจะถูกกระจายอยู่ภายในน้ำมัน โดยมีน้ำมันเป็นเฟสหลักที่เป็นตัวบรรจุหยดน้ำที่เล็กมาก ซึ่ง Emulsion ประเภทนี้มักจะมีลักษณะหนาแน่นและค่อนข้างมัน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการเคลือบหรือปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำและมักจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี เช่น
- ครีมทาผิวสำหรับผิวแห้ง: ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำในผิวสูญเสียออกไป
- ครีมกันแดด: ที่ต้องการให้ความปกป้องผิวจากแสงแดดและสิ่งแวดล้อมได้ดี
- ครีมบำรุงผิวในสภาพอากาศที่แห้ง: เช่น ครีมบำรุงผิวในช่วงฤดูหนาวที่ต้องการให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องจากความแห้งกร้าน
2. น้ำมันในน้ำ (Oil-in-Water, O/W)
ในประเภทนี้น้ำจะเป็นเฟสหลักที่มีการกระจายน้ำมันในรูปแบบของหยดน้ำมันเล็ก ๆ ภายในน้ำ ซึ่งมักจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะและดูดซึมได้เร็ว เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการการบำรุงอย่างเบาและไม่ทิ้งความมัน เช่น
- โลชั่น: เนื่องจากผิวต้องการความชุ่มชื้นแต่ไม่ต้องการความมันมาก
- เซรั่มบำรุงผิว: ที่ให้การบำรุงลึกแต่ไม่ทิ้งคราบเหนียว
- ครีมกันแดดบางเบา: ให้การปกป้องที่ดีและซึมซาบได้เร็ว
3. น้ำในน้ำ (Water-in-Water, W/W)
ในบางกรณี Emulsion อาจจะประกอบด้วยน้ำสองชนิดที่ต่างกัน (ตัวอย่างเช่น น้ำที่มีส่วนผสมของสารละลายที่แตกต่างกัน) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระบบที่ใช้ในบางผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง หรืออาหาร เพื่อการกระจายตัวของสารละลายที่แตกต่างกันในลักษณะของน้ำ เช่น การกระจายสารอาหารหรือวิตามินต่าง ๆ
4. น้ำมันในน้ำมัน (Oil-in-Oil, O/O)
Emulsion ประเภทนี้จะพบได้ไม่บ่อยนักและมีลักษณะพิเศษ โดยมีน้ำมันหลายประเภทที่ถูกกระจายอยู่ในน้ำมันอื่น ๆ ซึ่งมักจะพบในการประยุกต์ใช้ทางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการประมวลผลน้ำมันและผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง
เลือก Emulsion อย่างไรให้เหมาะกับผิวหน้า

- ผิวแห้ง: ควรเลือก Emulsion ประเภทน้ำในน้ำมัน (Water-in-Oil, W/O) เพราะประเภทนี้จะช่วยเคลือบผิวด้วยน้ำมันที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการบำรุงผิวในสภาพแห้งหรือในสภาพอากาศหนาวเย็น
- ผิวมัน: ต้องการการบำรุงที่ไม่ทิ้งความมันบนผิว แต่ยังคงต้องการการให้ความชุ่มชื้น ดังนั้นควรเลือก Emulsion ประเภทน้ำมันในน้ำ (Oil-in-Water, O/W) เนื่องจากเนื้อสัมผัสจะเบา ซึมซาบเร็ว และไม่ทิ้งความมันบนผิว เหมาะกับการบำรุงผิวที่ไม่ต้องการการเคลือบผิวมาก
- ผิวผสม: มักจะมีลักษณะมันบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) และแห้งในส่วนของแก้ม การเลือก Emulsion ที่เหมาะสมควรจะเน้นเนื้อสัมผัสที่สมดุล ควรเลือก Emulsion ประเภทน้ำมันในน้ำ (O/W) เนื่องจากช่วยให้ความชุ่มชื้นและไม่ทิ้งความมันมากเกินไปในส่วนที่มีความมัน
- ผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่าย: ควรเลือก Emulsion ที่มีความเบาและอ่อนโยน ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารเคมีที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง สามารถเลือก Emulsion ประเภทน้ำในน้ำ (W/W) ซึ่งมีความอ่อนโยนและไม่หนักผิวมากเกินไป ซึ่งมีความอ่อนโยนและไม่หนักผิวมากเกินไป
- ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิว: ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวมักต้องการการบำรุงที่ไม่เพิ่มความมัน และไม่อุดตันรูขุมขน ควรเลือก Emulsion ประเภทน้ำมันในน้ำ (O/W) ที่ไม่มันมากและซึมซาบได้เร็ว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นแต่ไม่เพิ่มน้ำมันส่วนเกิน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) และมีสารที่ช่วยควบคุมความมันหรือช่วยลดการเกิดสิว
- ผิวที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือริ้วรอย: มักต้องการการบำรุงที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและปรับสภาพผิว เลือก Emulsion ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือเปปไทด์ ที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอย พร้อมการเลือก Emulsion ประเภทน้ำมันในน้ำ (O/W) จะช่วยให้ความชุ่มชื้นและสารบำรุงซึมซาบลึกเข้าสู่ผิวได้ดี
Emulsion ควรใช้ตอนไหน ใช้ร่วมกับสกินแคร์อื่นได้หรือไม่?
Emulsion ควรใช้ตอนหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว ซึ่งในช่วงนี้ผิวจะพร้อมที่จะรับการบำรุง การใช้ Emulsion หลังจากทำความสะอาดผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่อาจสูญเสียความชุ่มชื้นไปจากการล้างหน้า ซึ่งสามารถใช้ทั้งเช้าและเย็น โดยเลือกใช้ Emulsion ที่เบาบางและซึมซาบเร็วในตอนเช้า และ Emulsion ที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อบำรุงผิวในตอนกลางคืน
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการบำรุงผิวด้วย Emulsion ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่น ๆ โดยเรียงลำดับการใช้ตามเนื้อสัมผัสจากเบาบางไปสู่เนื้อหนัก เพื่อให้ผิวดูดซึมสารบำรุงได้เต็มที่ ดังนั้น Emulsion จึงควรใช้หลังเอสเซนส์หรือเซรั่ม และก่อนมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อครีม

ลำดับการใช้ผลิตภัณฑ์
- ทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
- โทนเนอร์ (Toner) — หากใช้
- เซรั่ม (Serum) — หากมี
- อิมัลชัน (Emulsion) — ทาผลิตภัณฑ์นี้ในขั้นตอนนี้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว
- ครีม (Cream) — หลังจากใช้ Emulsion หากต้องการความชุ่มชื้นเพิ่มเติม สามารถใช้ครีมทับในขั้นตอนนี้ได้
- ครีมกันแดด (Sunscreen) — ในขั้นตอนตอนเช้าเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
พลิกโฉมแบรนด์สกินแคร์ของคุณ ด้วยนวัตกรรมที่เหนือกว่าที่ Derma Innovation
ในยุคที่ผู้บริโภคหันมาดูแลผิวพรรณมากขึ้น ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลลัพธ์อย่างเห็นได้ชัดและสามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผิวก็สูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะ Emulsion ที่เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวโดยไม่ทำให้รู้สึกหนักหรือเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเจอจากการใช้ครีมหรือโลชั่นทั่วไปที่มักจะไม่เหมาะกับสภาพผิวที่หลากหลาย สำหรับผู้ประกอบการที่อยากทำแบรนด์ที่แตกต่างและโดดเด่น ในสมรภูมิสกินแคร์ที่ดุเดือดนี้ ที่ไม่รู้เลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป Derma Innovation จึงไม่ได้แค่เสนอ “Emulsion” แต่เราจะพลิกโฉมแบรนด์ของคุณให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์กว่า 10 ปี พร้อมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ Emulsion ของแบรนด์คุณกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ Pain Point ของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างตรงจุด เลือกปรึกษา Derma Innovation เลย!