ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่า สมมติคุณกำลังจะซื้อเครื่องสำอางแบรนด์หนึ่ง คุณจะเลือกเครื่องสำอางที่ไม่มีใบรับประกัน หรือจะเลือกเครื่องสำอางที่มีใบรับประกัน แน่นอนว่าเราต้องเลือกใบรับประกันเพื่อเซฟตัวเอง เพราะมันเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่แสดงว่าเครื่องสำอางแบรนด์นี้ได้มาตรฐาน และได้รับการรับรองจากผู้ผลิต ในโลกของธุรกิจก็เช่นกัน การมีเอกสาร COA จึงเหมือนการมี “ใบรับรองความมั่นใจ” ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด มีคุณภาพ และปลอดภัย และทำให้ลูกค้ายอมรับและไว้วางใจแบรนด์ของคุณในท้ายที่สุด
COA คืออะไร?
COA ย่อมาจาก Certificate of Analysis หรือ ใบรับรองการวิเคราะห์ คือ เอกสารรับรองผลการวิเคราะห์คุณภาพของสินค้า หรือวัตถุดิบ ที่ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด โดยเอกสารฉบับนี้จะระบุรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของผลิตภัณฑ์ เช่น ความบริสุทธิ์ ปริมาณสารสำคัญ สารเจือปน และค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของสินค้า ซึ่ง COA จะมีการออกให้หลังจากที่ตัวอย่างสินค้าได้ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานแล้ว
ความสำคัญของ COA ในแง่มุมธุรกิจ

- การรับรองคุณภาพและความปลอดภัย: COA ช่วยให้ผู้บริโภคและผู้ค้าทราบว่า ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาจะใช้หรือจำหน่ายนั้นปลอดภัยและมีคุณภาพตามที่ระบุไว้ในฉลาก ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง COA จะบอกผลการทดสอบต่าง ๆ ทั้งการทดสอบความปลอดภัยทางผิวหนัง การตรวจสอบส่วนผสมและสารที่ใช้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้และไม่เป็นอันตราย
- การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานสากล: COA เป็นเอกสารที่ใช้ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีของการนำเข้าหรือการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งต้องได้รับการทดสอบตามมาตรฐานของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง การมี COA จึงทำให้สามารถแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้รับการตรวจสอบและตรงตามข้อกำหนดที่กฎหมายของแต่ละประเทศระบุ
- การสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส: COA ช่วยสร้างความโปร่งใสในกระบวนการผลิต และเป็นการรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่มีความน่าเชื่อถือ การมี COA ที่ชัดเจนและเป็นทางการช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
- การตรวจสอบและติดตาม: COA ยังช่วยในการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าผ่านการติดตามการผลิตแลการจัดส่ง หากมีปัญหาหรือข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์ เช่น สารเคมีหรือส่วนผสมที่ไม่ได้มาตรฐาน ผู้บริโภคหรือผู้ค้าสามารถอ้างอิง COA เพื่อร้องขอการตรวจสอบหรือการคืนสินค้าได้
- การป้องกันการหลอกลวง: ในบางอุตสาหกรรมที่มีสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าปลอมขาย COA จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแยกแยะสินค้าของแท้จากสินค้าปลอม เช่น ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรืออาหารเสริม ซึ่ง COA ช่วยยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้ผ่านการตรวจสอบและวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่มีความเชี่ยวชาญ
ด้วยเหตุนี้ COA จึงเป็นเครื่องมือที่ไม่เพียงแต่ช่วยรับรองคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ แต่ยังช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและข้อกำหนดทางกฎหมาย ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในทุกขั้นตอนของการผลิตและการจำหน่ายสินค้า
ข้อมูลที่ต้องใช้ในเอกสาร COA (Certificate of Analysis) มีอะไรบ้าง?

1. ข้อมูลของผลิตภัณฑ์
- ชื่อผลิตภัณฑ์ (Product Name): ชื่อทางการค้าหรือชื่อที่ใช้ในตลาด
- หมายเลขล็อต (Batch Number): หมายเลขที่ระบุชุดการผลิตหรือการแยกผลิตภัณฑ์
- วันที่ผลิต (Manufacturing Date): วันที่ผลิตของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
- วันที่หมดอายุ (Expiration Date) หรือ วันที่ใช้ภายใน (Use By Date): วันที่ที่ผลิตภัณฑ์ควรจะถูกใช้ภายในเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพ
2. ข้อมูลเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการที่ทำการทดสอบ
- ชื่อห้องปฏิบัติการ (Laboratory Name): ชื่อของห้องปฏิบัติการที่ดำเนินการทดสอบ
- ที่อยู่และข้อมูลติดต่อของห้องปฏิบัติการ: ข้อมูลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
- ใบรับรองหรือการรับรองมาตรฐาน (Accreditation): ตัวอย่างเช่น ISO 17025, GMP หรือการรับรองอื่น ๆ ที่แสดงว่าห้องปฏิบัติการได้มาตรฐาน
3. วิธีการทดสอบ (Test Methods)
- ระบุวิธีการทดสอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ เช่น การใช้เทคนิค HPLC (High-Performance Liquid Chromatography), GC-MS (Gas Chromatography-Mass Spectrometry), หรือ UV-Vis Spectroscopy
- หากใช้มาตรฐานอ้างอิง เช่น USP (United States Pharmacopeia) หรือ EP (European Pharmacopoeia) ควรระบุในเอกสาร
4. ผลการทดสอบ (Test Results)
- ค่าทดสอบหรือผลการวิเคราะห์: ผลการทดสอบที่ได้ เช่น ความบริสุทธิ์, ปริมาณสารออกฤทธิ์, สารเจือปน, ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH), ความชื้น หรือการทดสอบทางจุลชีววิทยา
- หน่วยของผลลัพธ์: เช่น กรัม, มิลลิกรัม, ปริมาตร (ml), ความหนาแน่น (density), หรือค่าการดูดกลืนแสง
- ข้อกำหนดมาตรฐาน (Specifications): เปรียบเทียบค่าทดสอบกับข้อกำหนดที่ยอมรับได้หรือมาตรฐานที่กำหนด (เช่น ข้อกำหนดทางกฎหมายหรือมาตรฐานในอุตสาหกรรม)
5. การตรวจสอบผลการทดสอบ (Test Conclusion)
- การสรุปผล: การสรุปว่า ผลการทดสอบเป็นไปตามข้อกำหนดที่ระบุหรือไม่ เช่น “Pass” (ผ่าน) หรือ “Fail” (ไม่ผ่าน)
- ข้อเสนอแนะ: หากจำเป็น อาจมีข้อเสนอแนะหรือการแนะนำในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิต
6. ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบและการอนุมัติ
- ผู้ตรวจสอบ (Tested By): ชื่อของบุคคลหรือทีมที่ทำการทดสอบ
- ผู้อนุมัติ (Approved By): ชื่อของผู้ที่อนุมัติผลการทดสอบหรือเอกสาร COA
- วันที่ออก COA (Date of Issue): วันที่ออกเอกสาร COA เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล
7. ลายเซ็นและตราประทับ
- ลายเซ็น: ลายเซ็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบหรือการอนุมัติ
- ตราประทับ (Seal or Stamp): ตราประทับของห้องปฏิบัติการหรือองค์กรที่ออกเอกสารเพื่อแสดงความถูกต้องและเป็นทางการ
8. ข้อมูลเสริมอื่น ๆ (ถ้ามี)
- หมายเหตุพิเศษ: ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต การเก็บรักษา หรือข้อกำหนดพิเศษที่ต้องปฏิบัติตาม
- การอ้างอิงมาตรฐาน: หากใช้มาตรฐานเฉพาะในการทดสอบ
เอกสาร COA ออกโดยหน่วยงานไหน?
เอกสาร COA (Certificate of Analysis) โดยทั่วไปจะออกโดย ห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้รับการรับรอง หรือ หน่วยงานตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งอาจเป็นภายในบริษัทผู้ผลิตเองหรือห้องปฏิบัติการภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในการทดสอบผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานที่กำหนด ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
โดยทั่วไป หน่วยงานที่ออกเอกสาร COA จะแบ่งออกเป็น
1. ห้องปฏิบัติการภายในองค์กร: บริษัทผู้ผลิตหลายแห่งมีห้องปฏิบัติการของตัวเองเพื่อทำการวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ และออกเอกสาร COA ให้กับลูกค้า ยกตัวอย่าง บริษัท Shiseido บริษัทเครื่องสำอางญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนาน มีศูนย์วิจัยภายในองค์กรเป็นของตัวเอง
2. ห้องปฏิบัติการภายนอก: หากบริษัทไม่มีห้องปฏิบัติการเอง ก็อาจส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปยังห้องปฏิบัติการภายนอกที่ได้รับการรับรอง ยกตัวอย่าง บริษัท Derma Innovation ที่มีห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัย พร้อมให้บริการการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์แก่บริษัทอื่น ๆ เหมาะกับบริษัทที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลาย
3. หน่วยงานรับรองมาตรฐาน: หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ เช่น กรมวิทยาศาสตร์บริการ อาจออก COA ให้กับผลิตภัณฑ์บางประเภท แน่นอนว่ามีความน่าเชื่อถือสูง แต่ก็อาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
ซึ่งก่อนแต่ละที่จะออกเอกสาร COA ได้นั้น จะต้องมีการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับ เช่น:
- องค์การอาหารและยา (FDA) – สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและยาในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) – สำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องสำอางในประเทศไทย
- ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจาก ISO/IEC 17025 – ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับห้องปฏิบัติการทดสอบและการสอบเทียบ
- หน่วยงานมาตรฐานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เช่น องค์การมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละประเทศ
ธุรกิจไหนบ้างที่ต้องมีการรับรอง COA

สินค้าและธุรกิจที่ต้องมี COA (Certificate of Analysis) ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพของผู้บริโภค เช่น ยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่ต้องผ่านการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายหรือสารก่อภูมิแพ้ และต้องผ่านการทดสอบที่ยืนยันว่าไม่มีผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนัง นอกจากนี้ อาหารเสริม เช่น วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมสร้างสุขภาพต่าง ๆ ก็ต้องมี COA เพื่อตรวจสอบว่าอาหารเสริมเหล่านั้นมีปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ถูกต้อง ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน และไม่เกินมาตรฐานที่หน่วยงานทางสุขภาพกำหนด หากมีใบเซอร์ COA ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจทั้งผู้บริโภคและผู้จำหน่ายว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องและปลอดภัยตามหลักมาตรฐานที่รับรอง
สินค้าเดิม แต่ผลิตล็อตใหม่ COA ต้องออกใหม่ทุกครั้งไหม?
COA จะต้องออกใหม่ทุกครั้งที่มีการผลิตสินค้าใหม่ เนื่องจากแต่ละล็อตของผลิตภัณฑ์อาจมีความแตกต่างกันในเรื่องของคุณภาพหรือความปลอดภัย ถึงแม้ว่าเป็นสินค้าชนิดเดียวกันที่ผลิตจากสูตรเดิม แต่กระบวนการผลิตหรือแหล่งที่มาของวัตถุดิบอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ดังนั้น COA จะช่วยยืนยันว่าแต่ละล็อตของผลิตภัณฑ์ที่ออกมานั้นได้ผ่านการทดสอบและได้มาตรฐานตามที่ระบุไว้
วิธีตรวจสอบว่า COA ว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่?
- ตรวจสอบว่า COA ออกโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับห้องปฏิบัติการทดสอบและสอบเทียบ
- ตรวจสอบข้อมูลใน COA ตั้งแต่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผลการวิเคราะห์ วิธีการทดสอบ ไปจนถึงลายเซ็นและตราประทับของหน่วยงานที่ออก COA หาก COA ขาดข้อมูลสำคัญ หรือผลการวิเคราะห์แตกต่างจากค่ามาตรฐานอย่างมาก อาจบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือ
จากการทดสอบสู่ความมั่นใจ Derma Innovation ห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล
การันตีคุณภาพระดับสากล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ Derma มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ระดับสากล ทุกขั้นตอนของการวิเคราะห์ถูกควบคุมภายใต้มาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้สูงสุด พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของคุณได้อย่างเต็มที่ ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีความปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนด เพราะคำว่ามาตรฐานไม่ใช่คำพูดลอย ๆ แต่ Derma ทำให้ทุกกระบวนตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เลือก Derma Innovation ยืนหนึ่งเรื่องมาตรฐานระดับสากล